หุ้นกู้ชั่วนิรันดร์ คือ
หุ้นกู้ชั่วนิรันดร์ (Perpetual Bond) เป็นหุ้นกู้ที่ไม่มีกำหนดวันไถ่ถอน ซึ่งอาจถือครองได้ตลอดกาลจนกว่าบริษัทผู้ออกหุ้นกู้จะเลิกกิจการหรือบริษัทใช้สิทธิ์ไถ่ถอน. ดังนั้น, หุ้นกู้ชั่วนิรันดร์ ไม่มีกำหนดไถ่ถอน ทำให้มีความเสี่ยงสูงและมีความคล้ายทุน ผู้ถือหุ้นกู้นี้สามารถรับชำระเงินก้อนนี้ในระยะเวลาไม่กำหนด ส่วนใหญ่หุ้นกู้ชั่วนิรันดร์จะมีอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าหุ้นกู้ทั่วไป เพื่อดึงดูดนักลงทุนให้สนใจ เนื่องจากมีผลตอบแทนที่สูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร.
นักลงทุนที่กำลังมองหาผลตอบแทนที่สูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารอาจสนใจในหุ้นกู้ชั่วนิรันดร์ โดยเฉพาะหุ้นกู้ชั่วนิรันดร์ที่มีอัตราดอกเบี้ยค่อนข้างสูง อย่างไรก็ตาม, ต้องคำนึงถึงความเสี่ยงที่มากขึ้นเมื่อลงทุนในหุ้นกู้ชั่วนิรันดร์ เนื่องจากหุ้นกู้ชั่วนิรันดร์ไม่มีกำหนดไถ่ถอน และการรับชำระหนี้คืนอาจไม่มีความแน่นอนเมื่อบริษัทเลิกกิจการ ซึ่งนักลงทุนอาจไม่ได้รับคืนเงินต้นทั้งหมด หรืออาจได้รับเพียงบางส่วนของเงินต้น โดยผู้ถือหุ้นกู้ชั่วนิรันดร์ที่ถือเป็นตราสารหนี้ด้อยสิทธิ (subordinated) จะได้รับชำระหนี้คืนอันดับถัดจากผู้ซื้อหุ้นกู้ทั่วไป แต่จะได้รับก่อนผู้ถือหุ้นสามัญ.
ผู้ออกหุ้นกู้ชั่วนิรันดร์มีสิทธิ์เลื่อนการจ่ายดอกเบี้ยออกไปก่อนได้ ซึ่งอาจทำให้นักลงทุนไม่ได้รับกระแสเงินสดจากดอกเบี้ยทุกงวดเหมือนการซื้อหุ้นกู้แบบทั่วไป โดยหุ้นกู้ชั่วนิรันดร์อาจจ่ายดอกเบี้ยเป็นรายปีหรือเป็นรายครึ่งปี และผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจในเงื่อนไขของหุ้นกู้ชั่วนิรันดร์ก่อนตัดสินใจลงทุน เนื่องจากการลงทุนเสมอเป็นเรื่องที่มีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้าเงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน.
ในการลงทุนในหุ้นกู้ชั่วนิรันดร์ นักลงทุนควรสำรวจตัวเองว่าเหมาะกับการลงทุนประเภทนี้หรือไม่ เพราะหุ้นกู้ชั่วนิรันดร์อาจไม่เหมาะสำหรับทุกคน การลงทุนควรดำเนินการอย่างรอบคอบและคำนึงถึงความเสี่ยงเสมอ การทำความรู้จักให้ดีก่อนลงทุนจะช่วยประกอบการตัดสินใจอย่างมีเหตุผลและประมาณการความเสี่ยงในการลงทุนให้ถูกต้อง.
ก่อนลงทุน “หุ้นกู้ชั่วนิรันดร์” ต้องรู้อะไรบ้าง
-ทำความเข้าใจว่า “หุ้นกู้” คืออะไร
- คือตราสารหนี้ที่ไม่มีวันครบกำหนด: หุ้นกู้ชั่วนิรันดร์ไม่มีวันที่ตั้งเฉพาะสำหรับการชำระเงินกลับให้แก่ผู้ถือหุ้นกู้
- ความเสี่ยงสูง: การลงทุนในหุ้นกู้ชั่วนิรันดร์มีความเสี่ยงที่สูงเนื่องจากมันไม่มีวันครบกำหนดสำหรับการกู้ยืม
- ผลตอบแทนสูง: ความเสี่ยงที่สูงมักจะเสนอผลตอบแทนที่สูงในเทียบกับตราสารหนี้ทั่วไป
- แตกต่างจากหุ้นกู้ทั่วไป: หุ้นกู้ชั่วนิรันดร์แตกต่างจากหุ้นกู้ประเภทอื่นๆ โดยส่วนใหญ่อยู่ที่ระยะเวลาและผลตอบแทน
- การขายกลับ (Secondary Market): การลงทุนในหุ้นกู้ชั่วนิรันดร์สามารถขายกลับในตลาดรองได้ แต่การขายกลับอาจมีความซับซ้อนและส่งผลต่อราคาขาย
-ประเมินความเสี่ยง
- ความหมายของหุ้นกู้: Perpetual Bond คือหุ้นกู้ที่ไม่มีกำหนดการผ่อนชำระเงินต้น และอาจจะจ่ายดอกเบี้ยไปตลอดการ
- ความเสี่ยงด้านดอกเบี้ย: ต้องเสียเปรียบหากดอกเบี้ยขึ้น เนื่องจากดอกเบี้ยที่ได้รับจากหุ้นกู้จะคงที่อยู่
- ความเสี่ยงด้านเงินต้น: หุ้นกู้ไม่มีกำหนดการผ่อนชำระเงินต้น ทำให้คุณอาจจะไม่ได้รับเงินต้นคืนหากบริษัทขัดสนเรื่องการเงิน
- ความเสี่ยงด้านลูกหนี้: ควรวิเคราะห์สถานะทางการเงินและความเสถียรของบริษัทที่ออกหุ้นกู้ เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่จะไม่ได้รับดอกเบี้ยหรือเงินต้นคืน
- ความเสี่ยงทางภาษี: หุ้นกู้มักจะมีภาษีที่ต้องชำระ ซึ่งต้องประเมินว่ามีผลต่อสินทรัพย์ของคุณหรือไม่
-รู้จักผู้ออกหุ้นกู้
- บริษัทหรือรัฐบาล: ปกติแล้วผู้ออกหุ้นกู้ส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทหรือรัฐบาลที่ต้องการหาเงินทุนในระยะยาวโดยไม่ต้องมีวันครบกำหนดสำหรับการชำระหนี้คืน
- ความเสี่ยง: ผู้ออกหุ้นกู้มักจะมีความเสี่ยงที่สูงกว่าหุ้นกู้ปกติ เนื่องจากไม่มีวันครบกำหนดการชำระเงินคืน
- ดอกเบี้ย: ดอกเบี้ยที่จ่ายอาจจะมีการปรับเปลี่ยนได้และมักจะมีอัตราที่สูงกว่าหุ้นกู้ปกติ อาจไม่มีวันหยุดจ่ายดอกเบี้ย
- เงื่อนไข-ลักษณะ: ผู้ออกสามารถกำหนดเงื่อนไขต่าง ๆ ได้ เช่น สิทธิในการซื้อคืนหุ้นกู้, หรือการแปลงเป็นหุ้นสามัญ
- ความยืดหยุ่น: หุ้นกู้ส่วนใหญ่จะมีความยืดหยุ่นสูง เพราะผู้ออกสามารถปรับเงื่อนไขหรือแลกเปลี่ยนได้ตามความต้องการ
-วิจัยตลาดและเทรนด์
- เป้าหมายของวิจัย: วิจัยตลาดหุ้นมีเป้าหมายในการหาข้อมูลที่จะช่วยในการตัดสินใจลงทุน โดยมีการวิเคราะห์ค่าหุ้น, ภาวะเศรษฐกิจ, และข้อมูลอื่น ๆ
- ประเภทของเทรนด์: มีหลายประเภท เช่น เทรนด์ระยะสั้น, เทรนด์ระยะยาว, และเทรนด์แนวแกนนอน ซึ่งผลจะมีผลต่อการตัดสินใจลงทุน.
- สัญญาณจากพฤติกรรมผู้บริโภค: การศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคสามารถช่วยเห็นเทรนด์ที่จะมีผลต่อหุ้นของบริษัทในอนาคต
- จัดการความเสี่ยง: ผู้ลงทุนควรจะเรียนรู้วิธีการจัดการความเสี่ยงในตลาดหุ้น เช่น การวางแผนออกจากตลาดหรือการใช้ Stop-Loss
- ข้อมูลและเครื่องมือ: ผู้ลงทุนควรใช้ข้อมูลและเครื่องมือที่ถูกต้องในการวิเคราะห์ เช่น รายงานการเงิน, แผนภูมิ, และข้อมูลเศรษฐกิจเพื่อช่วยในการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพ
-ความยืดหยุ่นของการลงทุน
- ความหลากหลายของสินทรัพย์: นักลงทุนที่มีความยืดหยุ่นจะไม่ใส่เงินลงในแหล่งที่มีความเสี่ยงสูงเท่านั้น แต่จะลงทุนในหลายประเภทของสินทรัพย์เพื่อกระจายความเสี่ยง
- การปรับแผนลงทุน: ความยืดหยุ่นในการปรับแผนการลงทุนตามเทรนด์หรือสถานการณ์ตลาดเป็นสิ่งสำคัญ
- เสถียรภาพทางการเงิน: นักลงทุนที่มีความยืดหยุ่นสามารถจัดการกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในสถานการณ์ทางการเงินของตนเองได้
- ความยืดหยุ่นของเวลา: นักลงทุนควรมีความยืดหยุ่นในการตัดสินใจ ไม่ว่าจะเป็นในระยะสั้นหรือระยะยาว ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเป้าหมายและความเสี่ยงที่ยอมรับได้
- เข้าใจในความยืดหยุ่นของตลาด: ความรู้เรื่องความยืดหยุ่นของอุปสงค์และอุปทานในตลาดสินทรัพย์ที่สนใจจะช่วยให้นักลงทุนสามารถตัดสินใจได้ดียิ่งขึ้น
สรุปอย่างง่ายๆ คือ :
- หุ้นกู้ (Perpetual Bond) คือหุ้นกู้ที่ไม่มีกำหนดวันไถ่ถอน สามารถถือครองได้ตลอดกาลจนกว่าบริษัทผู้ออกหุ้นกู้จะเลิกกิจการหรือบริษัทใช้สิทธิ์ไถ่ถอน.
- หุ้นกู้ มีความเสี่ยงสูงเนื่องจากไม่มีกำหนดไถ่ถอน และการรับชำระหนี้คืนอาจไม่เป็นที่แน่นอนเมื่อบริษัทเลิกกิจการ ผู้ถือหุ้นกู้ที่ถือเป็นตราสารหนี้ด้อยสิทธิ (subordinated) อาจได้รับชำระหนี้คืนหลังจากผู้ซื้อหุ้นกู้ทั่วไปและได้รับก่อนผู้ถือหุ้นสามัญ.
- หุ้นกู้ชั่วนิรันดร์อาจจ่ายดอกเบี้ยเป็นรายปีหรือเป็นรายครึ่งปี และผู้ออกหุ้นกู้ชั่วนิรันดร์มีสิทธิ์เลื่อนการจ่ายดอกเบี้ยออกไปก่อนได้.
- การลงทุนในหุ้นกู้ชั่วนิรันดร์เป็นเรื่องที่มีความเสี่ยง นักลงทุนควรทำความเข้าใจเงื่อนไขของหุ้นกู้ชั่วนิรันดร์และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน.