fbpx

การเลือกและการออกแบบ ปั๊มลมให้เหมาะสมสำหรับโรงงานอุตสาหกรรม

ปั๊มลม หรือ Air Compressor เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการอัดลมให้มีแรงดันสูงตามที่ต้องการเพื่อนำไปใช้ประโยชน์และประยุกต์ใช้ได้ในหลายด้าน โดยมีประเภทหลากหลายดังนี้ :

  1.  ปั๊มลมแบบลูกสูบ (Piston Air Compressor): เป็นประเภทที่มีการใช้งานที่ค่อนข้างมากในหลายสถานที่ เนื่องจากราคาเข้าถึงได้ง่ายและสามารถให้แรง ดันลมสูงได้.
  2.  ปั๊มลมแบบใบพัดหมุน (Roots Air Compressor): ใช้ในการอัดลมโดยใช้วิธีการหมุนของใบพัดที่จะเพิ่มแรงดันลม.
  3.  ปั๊มลมแบบสกรู (Screw Air Compressor): ใช้หลักการทำงานของสกรู 2 ตัวที่หมุนซ้อนทับกันเพื่ออัดลม.
  4.  ปั๊มลมแบบไดอะเฟรม (Diaphragm Air Compressor): ใช้ไดอะเฟรมสำหรับสร้างแรงดันลม โดยใช้การเคลื่อนไหวขึ้นลงของไดอะเฟรม.
  5.  ปั๊มลมแบบใบพัดเลื่อน (Sliding Vane Rotary Air Compressor): ใช้หลักการทำงานของใบพัดเลื่อนที่หมุนภายในถังปิดเพื่ออัดลม.
  6.  ปั๊มลมแบบกังหัน (Radial and axial flow Air Compressor): ใช้หลักการของกังหันแบบเรเดียลและแกนหมุน ทำให้แรงดันลมที่ผลิตออกมามีความสูง.

การเลือกใช้ประเภทของ ปั๊มลมที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับการใช้งานและความต้องการของผู้ใช้งาน ซึ่งแต่ละประเภทของ ปั๊มลมมีคุณสมบัติและข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกัน ดังนั้น การเลือกประเภทที่เหมาะสมจะช่วยให้ได้ประสิทธิภาพการทำงานที่ดีที่สุด.

 

ปั๊มลม (Air Compressor) แบ่งได้เป็น 2 ประเภทหลัก ๆ ขึ้นอยู่กับหลักการอัดลม ดังนี้:

  1. แบบแทนที (Positive Displacement): ปั๊มลมแบบแทนทีทำการอัดลมในชุดอัดลม (Airend) โดยลมจะถูกดูดเข้ามาและบีบอัดให้มีปริมาตรที่เล็กลง เช่น ปั๊มลมแบบลูกสูบ (Piston) และโรตารีสกรู (Rotary screw) ประเภทนี้เหมาะสำหรับการใช้งานในร้านซ่อมรถหรือในอุตสาหกรรมทั่วไป
  2. แบบอัดต่อเนื่อง (Continuous Flow): ปั๊มลมแบบอัดต่อเนื่องทำการอัดลมในชุดอัดลม (Airend) โดยลมจะถูกดูดเข้ามาและเพิ่มความเร็วด้วยชุดใบพัด (Impeller) ที่หมุนด้วยความเร็วสูง และลมที่มีความเร็วสูงจะถูกทำให้ช้าลงที่ชุดดิฟฟิวเซอร์ (Diffuser) เพื่อเพิ่มแรงดันให้ได้สูงขึ้น ปั๊มลมแบบนี้เรียกว่าปั๊มลมเทอร์โบ (Centrifugal Air Compressor) ประเภทนี้เหมาะสำหรับการใช้งานในโรงงานอุตสาหกรรม

ปั๊มลมมีการใช้งานแพร่หลายในทุกภาคอุตสาหกรรมและงานวิศวกรรม เช่น ใช้กับเครื่องมือทุนแรงต่าง ๆ (Air tools) ใช้กับระบบนิวเมติกส์ (Pneumatic system) ระบบควบคุมเครื่องมือวัด (Instruments control system) ระบบลำเลียงด้วยลม (Pneumatic conveyor) เป็นต้น

ในการเลือกใช้เครื่องปั๊มลมและระบบลมอัด (Compressed Air System) คุณสมบัติต่อไปนี้ควรพิจารณา:

  1. ปริมาณลมอัด (FAD): ความต้องการปริมาณลมอัดที่สูงสุด (Peak), เฉลี่ย (Average), และต่ำสุด (Minimum) เพื่อเลือกเครื่องอัดอากาศที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ
  2. แรงดันใช้งานต่ำสุด (Minimum Pressure): ความดันลมที่เพียงพอต่อการใช้งานและไม่สูงเกินไป
  3. คุณภาพลมอัด: เลือกปั๊มลมที่มีคุณภาพลมอัดที่ต้องการ เช่น ลมอัดปราศจากน้ำมัน (Oil Free) หรือลมอัดที่มีน้ำมันปน (non-oil free)
  4. ปริมาณความชื้นในลมอัด: พิจารณาจากค่า Pressure Dewpoint เพื่อเลือกปั๊มลมที่ให้ความชื้นในลมอัดที่ต้องการ
  5. ประสิทธิภาพการอัด: พิจารณาประสิทธิภาพการอัดและการใช้พลังงานของปั๊มลม เช่น Kw/M3/min, Bhp/100cfm
  6. ระบบระบายความร้อน: เลือกระบบระบายความร้อนด้วยอากาศ (Air Cooled) หรือด้วยน้ำ (Water Cooled).
  7. ต้นทุนการใช้งานตลอดอายุการทำงานของเครื่องอัดลม (Life Cycle Cost): พิจารณาต้นทุนการลงทุน (Investment Cost), ค่าบำรุงรักษา (Maintenance Cost), และค่าพลังงาน (Energy Cost)
  8. ความสามารถในการบำรุงรักษา: พิจารณาความง่ายในการบำรุงรักษาปั๊มลม
  9. การรับประกันและบริการหลังการขาย: ควรพิจารณาการรับประกันและบริการหลังการขายของผู้ผลิตปั๊มลม

โดยมีวิธีการเลือกใช้ปั๊มลมและระบบลมอัด (Compressed Air System) ตามที่ได้กล่าวมาข้างต้น จะช่วยให้คุณสามารถเลือกเครื่องปั๊มลมที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพสำหรับงานและการใช้งานของคุณได้อย่างเหมาะสม

เมื่อท่านพิจารณาเบื้องต้นแล้ว ว่าธุรกิจคุณเหมาะกับเครื่องปั๊มลมประเภทไหน ทางบริษัท อาไจล์ แอสเซ็ทส์ จำกัด มีบริการ สินเชื่อ-เช่าซื้อเครื่องจักรประเภท ปั๊มลม หรือ Air Compressor ซึ่งโดยหลัก ๆ จะเน้นเครื่องจักรอุตสาหกรรมเป็นหลัก หากลูกค้าท่านใด สนใจร่วมธุรกิจสินเชื่อกับเรา สามารถติดต่อเราได้ที่ 02-000-9392 , 092-2797699 หรือ Line : https://bit.ly/agileassets-line

 บริษัทฯ ขอสงวนสิทธิ์ในการเผยแพร่ ดัดแปลง ทำซ้ำ โดยไม่ได้รับความยินยอมจากบริษัท

 

SearchGoogleAirCompressor

บทความที่เกี่ยวข้อง